เทศน์บนศาลา

ทุกข์เกิดที่ใจ

๖ ก.ย. ๒๕๔๕

 

ทุกข์เกิดที่ใจ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๕
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจ ตั้งใจเลยนะ ทำความสงบของใจ ฟังธรรม ฟังธรรมะ ธรรมจะเข้าไปกล่อมใจ ใจเท่านั้นเป็นผู้ทุกข์ผู้ยากนะ ใจเท่านั้นทุกข์ยากมาก ใจพาเกิดพาตาย ใจนี้สำคัญที่สุด ถ้ามีหัวใจอยู่เรามีโอกาส หัวใจของเราอยู่ในร่างกายของเรา แต่เราไม่เข้าใจเรื่องใจของเรา เราเข้าใจเรื่องต่างๆ เรื่องของโลก จะเข้าใจเรื่องของโลก เกิดมาศึกษา เกิดมาแล้วก็ต้องศึกษาเรื่องของโลก เข้าใจเรื่องของโลกเพื่อให้ทันโลกเขา เลยลืมไป อยู่กับโลกเขาเป็นแต่โลกไปตลอด

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาค้นคว้า ค้นคว้าเรื่องของใจ ค้นคว้าเรื่องของใจจนเข้าใจ ดับทุกข์ที่ใจ ทุกข์เกิดที่ใจ ทุกข์ดับที่ใจ “ทุกข์เกิดที่ใจ” ไม่ใช่เกิดกับสิ่งต่างๆ เลย

โลกนี้ ตอนนี้ดูสิภัยน้ำท่วม น้ำท่วมมาดินฟ้าอากาศธาตุ ๔ เขาไม่เดือดร้อนเลย เขาเป็นไปตามประสาธรรมชาติของเขา คนเราต่างหากเดือดร้อนมาก ทุกข์ยากลำบากมาก เพราะคนเราเดือดร้อน คนเราเดือดร้อนจนถึงที่สุดตายไปนะ โดนน้ำป่าพลัดพรากไป ตายไป ศพนั้นก็ไม่เห็นเรียกร้องสิ่งใด แต่คนที่ตายไปหัวใจตายนั้นหลุดออกจากร่างกายนั้นไป ออกไปแล้วหมดโอกาสออกไป นั่นน่ะ ทุกข์ยากขนาดนั้น

ความทุกข์นี่มองกันแต่ข้างนอก มองกันแต่ความเห็น ความสุข ความเข้าใจของเรา เราพยายามแสวงหาของเรา ทุกคนแสวงหาแต่ความสุข แต่ตะครุบเงา ตะครุบสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ตามความเป็นจริง สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ตามความเป็นจริงมันถึงแก้ใจของเขาไม่ได้

แต่เราเข้าใจเรื่องของธรรม เราจะแก้ไขเรื่องใจของเรา เราต้องย้อนกลับมาดูใจของเรา พยายามดูใจของเรา ใจเกิด ใจมันเกิดตามสภาวะตามกรรม ใจนี้มหัศจรรย์มากเป็นของที่มหัศจรรย์พันธุ์ลึกมาก มันหมุนไปตามกระแสของกรรม กรรมพลัดพรากออกไป หมุนตามกระแสของกรรมนั้นตลอดไป กรรมเวียนตายเกิดไป แต่ใจนั้นไม่เข้าใจตัวของตัวเอง เพราะกรรมมันปิดบังไว้ มันหมุนเวียนตามกระแสของกรรมไป หมุนออกไปตามโลกเป็นวัฏฏะ วัฏฏะถึงพาเกิดพาตาย เราก็ไม่เข้าใจเรื่องชีวิตของเราเลย

ถ้าคนเข้าใจเรื่องชีวิตของเรานะ มันจะสลด มันจะสังเวชมาก สลดสังเวชว่า เวียนตาย เวียนเกิด มาได้อย่างไร ทุกข์ๆ ยากๆ เราทำไมไม่หาทางออก ทำไมไม่หาทางเป็นไป ถ้ามีความเป็นไปได้มันจะออกจากโลกได้ ออกจากโลกวัฏฏะ โลกวัฏฏะทำให้ใจนี้เศร้าหมอง ใจนี้ผ่องใส แล้วแต่ความเป็นไปของโลกเขา

เวลามีความสุขความสบายพอสมควรมันก็อยู่กับโลกเขา โลกเขาให้ความสุขได้ขนาดนั้น แต่ความสุข ความสุขของโลกนี้เป็นความสุขชั่วคราว สิ่งใดในโลกนี้เป็นเรื่องของสมมุติทั้งหมด ความที่เป็นสมมุติ ของสมมุติ จริงตามสมมุติ จะว่าไม่มีเลยมันก็มี ถ้าไม่มีเลยคนเราตื่นได้เพราะอะไร คนเราตื่นเพราะมันมีอยู่ แต่ตามสัจจะแล้วมันเป็นความสมมุติ มันเป็นสิ่งที่ว่ามันไม่คงที่ มันเป็นที่พึ่งไม่ได้

แต่ใจนี้มันไม่เคยตาย มันเกิดตาย เกิดตาย ตามสภาวะ ตามวัฏวน ตามกระแสของกรรม แต่มันไม่เคยตาย มันไม่เคยสิ้นเวลา สิ้นโอกาสของมัน มันต้องหมุนเวียนตายเวียนเกิดตามประสาของมันตลอดไป มันจะเป็นประสากันอย่างนี้ตลอดไปถ้าเราไม่แก้ไข

ถ้าเราแก้ไขเวลาใจเราจะค้นคว้าหาใจของเรา เราจะไม่เจอใจของเราเลย มันแผ่ออกไปตามแต่อำนาจวาสนาของความเป็นไปของเขา แผ่ออกไป นึกถึงสิ่งใดจะคิดถึงเรื่องสิ่งใดคิดได้หมดเลย ใจนี้อยู่ในความคิดของเรา แอบคิด แอบออกความคิดของตัวเองอยู่ภายใน คิดได้ตลอด มันแผ่ไปได้ ๓ โลกธาตุ แผ่ไปได้ ความคิดต่างๆ คิดไปได้ตลอดเลย มันแผ่ออกไปทั้งหมด แต่มันไม่เข้าใจตัวมันเอง

เราถึงต้องตัดรอนเข้ามา ตัดรอนเข้ามาให้หาตัวเองขึ้นมา ให้ค้นคว้าตัวเองเข้ามา ย้อนกลับเข้ามาเห็นตัวเองให้ได้ ถ้าย้อนกลับเข้ามาเห็นตัวเอง มันจะเริ่มแก้ไขของเรา เริ่มแก้ไขตรงนี้ เริ่มแก้ไขใจของเรา เราต้องหาใจของเราให้เจอ ถ้าหาใจของเราให้เจอ เราพยายามจะทำใจของเราให้เจอ มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ มันเป็นสิ่งที่ว่าส่งออก ธรรมชาติของเขา เรื่องของใจนี้มันส่งออกตลอด มันส่งไปต่างๆ มันส่งไป

พอมันส่งไป มันก็รู้จักสิ่งต่างๆ เข้าไป แล้วมันเอาอะไรเก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆ เอาอะไรให้มาเป็นผลของเรา เก็บเกี่ยวสิ่งที่ว่าเป็นโทษเป็นภัยให้กับผลของเรา เพราะเราเข้ามาแล้วเราก็เดือดร้อน สิ่งต่างๆ เดือดร้อน ความดีใจ ความเสียใจ ทำให้ใจนี้ขุ่นมัว แล้วธรรมชาติมันเป็นแบบนั้น

ธรรมชาติของใจ ธรรมชาติของธาตุ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เป็นแบบนี้โดยสัจจะของเขา แล้วกิเลสพาสิ่งนี้ทำให้เศร้าหมอง ใช้สิ่งนี้ออกไปตามกระแสโลกของเขา แล้วเราก็อยู่แต่อำนาจของเขา เราถึงต้องเป็นไปตามอำนาจของเขา เราถึงว่าเราสำคัญตนเองไม่ได้ เราต้องอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนน้อมถ่อมตนนั้นเป็นธรรมอันหนึ่ง ถ้าเป็นธรรมอันหนึ่ง เราอ่อนน้อมถ่อมตนเพื่อจะให้เราสามารถหาใจของเราให้เจอ ถ้าเราสามารถหาใจของเราเจอ ความสงบของใจจะเกิดขึ้นจากตรงนี้

ความสงบของใจ ใจมันทุกข์ยากขนาดไหน เวลามันทุกข์ยากมันเหมือนคนทำงานเหนื่อยยากขนาดไหน แต่บางคนเหนื่อยยากพักก็หาย แต่ใจนี้ไม่เป็นอย่างนั้น มันทำเหนื่อยยากขนาดไหนมันก็จะสู้ตลอดไป สู้นะ ภัยมาขนาดไหนมันก็จะแบกเข้าต่อสู้ ต่อเข้าคิดต่อกรไปกับสิ่งความเห็นของใจที่มันคิดว่ามันจะเป็นสิ่งที่มันทำได้

มันจะทำได้ ว่ามันทำได้ สิ่งที่ทำได้มันเป็นสิ่งที่ปลุกเร้า อะไรคือปลุกเร้าใจของเรา สิ่งต่างๆ สิ่งที่ว่ามันปลุกเร้าอยู่ในใจของเรานี้ นี่สิ่งที่กิเลสมันเกิดกับใจ มันเกิดในหัวใจ มันเกิดจากใจของเรา มันอาศัยใจนี้แล้วมันก็เกิดดับอยู่ในหัวใจของเรา สิ่งนี้ต่างหากเป็นสิ่งที่ปลุกเร้า

เพราะบางทีเราก็เหนื่อยหน่าย เราเหนื่อยหน่าย ทุกคนนี้เหนื่อยหน่าย เหนื่อยหน่ายกับชีวิต เหนื่อยหน่ายกับความเป็นไป แต่มันก็ต้องแบกภาระสิ่งนี้ไป ต้องแบกไปจนถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องปล่อยวางกันไป มันต้องปล่อยวาง เราไม่ปล่อยวางเขา เขาก็ต้องปล่อยวางเรา สิ้นอายุขัยแล้วก็ต้องพลัดพรากจากชีวิตนี้แน่นอน ชีวิตนี้อยู่กับเราคงที่ไม่ได้ ชีวิตนี้นะในสมมุติชีวิตอยู่คงที่ไม่ได้

แต่หัวใจมันอยู่คงที่ของมัน แต่คงที่ในสัจจะของเขา ในสัจจะอันนี้มันประเสริฐ มันถือว่าประเสริฐมาก ประเสริฐที่ว่ามันถึงเข้ากับสิ่งที่ว่าถ้าสิ่งที่คงที่ได้ ทำลายหัวใจทั้งหมดแล้ว ทำลายหัวใจ โลกนี้สิ่งที่ทำลายต่างๆ เราทำลายอะไรแล้วมันจะไม่เหลือไว้เป็นคุณสมบัติของเราเลย เพราะเราทำลายสิ่งนั้นไป

แต่หัวใจทำลายขนาดไหนมันยิ่งสะอาด ยิ่งบริสุทธิ์ขึ้นมา มันยิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมา ถ้าเราทำลายใจของเรา ทำลายใจเลย เพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจ ทำลายหัวใจคือทำลายกิเลส ถ้าทำลายกิเลส ใจนี้จะบริสุทธิ์จะผุดผ่องขึ้นมา สิ่งที่ผุดผ่องขึ้นมา มันหมายถึงว่าสิ่งที่ไม่ตายกับสิ่งที่ผุดผ่องขึ้นมามันจะคงที่ของมันได้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราแสวงหา เราต้องการแสวงหา ต้องการทำสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นมากับเราได้

ถ้าพยายามทำสิ่งนี้ขึ้นมา เราต้องมีกำลังใจ มีความมานะอดทน เราแบกหนักเบาเอาสู้ หนักเบาเอาสู้ สังเกตใจของตัวเอง สังเกตความเป็นไปของใจ ใจมันจะเป็นไปวันหนึ่งๆ มันจะเป็นอย่างไร สังเกตสอดรู้เรื่องใจของตัวเอง แล้วพยายามดูว่ามันทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เห็นโทษของมัน โทษของมันคือเห็นโทษของกิเลส

แต่คุณสมบัติเป็นคุณประโยชน์ของมันก็คือความรู้สึกอันนี้ สิ่งนี้เป็นความรู้สึกนี่มันเป็นเราตลอด สิ่งที่เป็นเรา เวลาเป็นเราขึ้นมามันยึดมั่นถือมั่นไปทั้งหมดเลย ความยึดมั่นถือมั่นมันทำให้เกิดความยึดถือ ความยึดถือมันเกิดจากความเห็นของเราเห็นผิด ถ้าความเห็นผิดขึ้นมา ความเห็นผิดมันไม่ใช่เห็นความถูกต้อง ไม่ใช่ความจริง

ความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งในโลกนี้มันเป็นอนิจจังทั้งหมด ความรู้นี้รู้ชั่วคราว ความรู้ไม่ใช่ใส่บ่าแบกหามเก็บไว้ในสมอง โลกเขาว่ากันอย่างนั้น แต่ถ้าเก็บไว้ในสมอง การศึกษาการดัดแปลงมันต้องเป็นสิ่งที่คงที่ตลอด สสารสิ่งใดเราเติมสิ่งนั้นเข้าไปแล้ว มันต้องออกมาให้ค่าเป็นแบบที่เราต้องการ เราผสมส่วนนั้นให้พอเป็นไป โลกนี้ต้องเหมือนกันหมด หมายถึงว่า สิ่งที่เราทำแล้วต้องเหมือนกันหมด

แต่นี้มันไม่เป็นไปเหมือนกันหมดเพราะอำนาจวาสนา มันเกี่ยวกับอำนาจวาสนา เกี่ยวกับเรื่องของกรรม การกระทำของคนมา สิ่งนี้มันทำให้พลัดพรากให้มันหลุดมือไป มันไม่คงที่กับความเป็นพอดีของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะทำสิ่งนั้นแล้วไม่พอดีกับความเห็นของตัวเอง ไม่สบความคิดของตัวเอง นี่คือความเห็นของตัวเอง แล้วผลที่มันจะเกิดขึ้นกับการกระทำนั้น มันเป็นผลอีกอันหนึ่ง

ความของเราที่เราคิด เราคาดหมายสิ่งที่การกระทำต่างๆ เราว่าจะประสบผลสำเร็จ เราถึงทำลงไป แล้วทำลงไปมันประสบความสำเร็จก็มี มันไม่ประสบความสำเร็จก็มี มันแล้วแต่กาลเวลา โอกาส จังหวะที่มันจะเป็นไป กาลเวลา โอกาสหรือจังหวะ นั้นคืออำนาจวาสนา นั้นคือกระแสของกรรมที่มันพลัดพรากออกไป พลัดพรากให้เราพลัดพรากกับสิ่งที่การกระทำอันนั้น มันถึงไม่สมควรแก่การเป็นความจริง

ผลของกรรม วิบาก ผล วิบากคือผลของการกระทำของเรามา เราทำสิ่งใดมา สิ่งนั้นกรรมที่เกิดขึ้นแล้วกรรมมันจะให้ค่ากับใจดวงนั้นใจ ใจดวงนั้นรับผลทันที รับผลที่ว่า แต่มันจะให้ผลตอนไหน สิ่งที่มันให้ผลกับใจขึ้นมาแล้ว เราถึงปฏิเสธสิ่งนั้นไม่ได้ นี้ถึงต้องพยายามบังคับใจไม่ให้ทำสิ่งที่มันผิดพลาด ให้มันเป็นโทษกับใจนั้นมากเกินไป พยายามทำคุณให้เกิดกับใจ คุณของใจ การบังคับใจ ความสงบของใจนี้เป็นความสุขอย่างยิ่ง

ความฟุ้งซ่านความคิดต่างๆ ความแสวงหาของใจ มันแสวงหาเพื่อมัน นี่เวลามันแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปจะเป็นแบบนั้น เราถึงไม่เห็นใจของเราเลย ถ้าเราจะเห็นใจของเรา เราต้องพยายามทำลายเข้าไป ตัดรอนกิ่งก้านสาขาในการสืบออกไปของใจที่มันออกไปออกไปรับรู้สิ่งต่างๆ ธรรมชาติเป็นแบบนั้น ธรรมชาติออกรับรู้ ใครรู้มาก ใครทำได้มาก คนนั้นเป็นคนที่ว่าเป็นคนเก่ง เป็นคนที่รับรู้มาก โลกชมเชยกัน

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ว่าอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้ถอยร่นกลับมา ให้ถอยร่นกลับมา ให้ดูใจของเรา ให้จับความรู้สึกของเราให้ได้ ถ้าถอยร่นมาที่ใจ ถอยร่นเข้ามา พยายามทำความสงบของใจเข้ามา ถอยกลับมาให้ได้ ถ้าทำใจของเราให้ได้ พยายามกำหนดคำบริกรรม คำบริกรรมนี้เป็นเขื่อน เป็นสิ่งที่เราปั้น เราปั้นเวลาปิดกั้นไม่ให้มันออกไป ไม่ให้ใจออกไปรับรู้สิ่งต่างๆ

ใหม่ๆ ต้องตั้งสติขึ้นมา สติสัมปชัญญะสำคัญมาก เราทำใจของเรา เรารับรู้ไง สิ่งใดเป็นบุญกุศล สิ่งใดเป็นบาปอกุศล เราก็เข้าใจกันอยู่ แต่ทำไมบางอย่างมันเกิดขึ้นมาในหัวใจเรา แล้วเรายับยั้งใจเราไม่ได้ ถ้าเรารับเราเห็นว่าเป็นโทษแล้ว เราต้องเห็นโทษ เราต้องปัดมันทิ้งสิ

มันปัดทิ้งไม่ได้เพราะกิเลสในหัวใจ มันไม่สามารถปัดสิ่งนั้นทิ้งไปโดยธรรมชาติของมันได้ มันต้องทำการไตร่ตรองวิเคราะห์เห็นโทษของมัน ความที่จะเห็นโทษของมัน นั่นมันก็ต้องหลุดถอยร่นเข้ามาเพื่อจะให้เห็นการกระทำของมันใหม่ เห็นการกระทำของมันใหม่คือการกระทำของใจขึ้นมาที่เราทันกับเหตุการณ์ต่างๆ

ถ้าเราไม่ทันกับเหตุการณ์ เราตามรู้ตามเห็น ตามความเห็นของเราไป ความเห็นเราเกิดขึ้นมา เราถึงทำประโยชน์หรือทำโทษให้กับใจขึ้นมาแล้ว เราค่อยมาเสียใจกับการกระทำของเราทุกที เรากระทำสิ่งนั้นไปแล้วเราก็เสียใจกับการกระทำของเรา เราเสียใจกับการกระทำแล้วมันเป็นประโยชน์กับเราไหม

ถ้ามันเป็นประโยชน์ มันเป็นความสลดสังเวช เป็นความให้เรายับยั้งชั่งใจ แล้วเราจะเริ่มต้นตั้งสัจจะกันใหม่ เราจะไม่ทำอีก ให้อันนี้เป็นครูกับเรา อันนี้จะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเราไม่คิดอย่างนั้นสิ่งนั้นจะไม่เป็นประโยชน์กับเรา การทำผิดพลาดไปแล้วก็ทำผิดพลาดซ้ำซาก ซ้ำซากจนกลายเป็นจริตนิสัย สิ่งที่เป็นจริตนิสัยเกิดจากการกระทำบ่อยครั้งเข้า จริตนิสัยนี้ฝึกฝนได้

พระเวลาบวชใหม่ขึ้นมาต้องขอนิสัยครูบาอาจารย์เพื่อจะให้ได้นิสัย นิสัยคือการฝึกฝน การดัดแปลงนิสัยนั้นให้ได้นิสัย ได้นิสัยของครูบาอาจารย์ไป มันก็ฝึกฝน เรื่องของนิสัยโลก โลกคือความเป็นอยู่ของโลกเขา อยู่ในจารีตประเพณีของเขา เขาว่าเป็นคุณงามความดี แต่พระไม่เป็นแบบนั้น พระต้องมีความสงบเสงี่ยมมากกว่านั้น พระต้องพยายามทรงมรรคทรงผลให้ได้ ถ้าพระเราทรงมรรค ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงศีล ทรงธรรมได้ สิ่งนั้นถึงจะเป็นที่แน่ใจกับตัวเอง

ต้องแน่ใจกับตัวเองก่อนนะ ถ้าตัวเองแน่ใจ ตัวเองหาจุดบกพร่องของเราไม่ได้ คนอื่นจะหาจุดบกพร่องของเราเจอที่ไหน ถ้าเราจะหาจุดบกพร่องของเราได้ คนอื่นจะหาจุดบกพร่องของเราเจอ ย่อมแน่ใจกับตัวเราเองก่อน นั้นฝึกนิสัยของเราถึงฝึกขึ้นมาขนาดนั้น ฝึกมาเพื่อให้ใจมันเริ่มมีฐานก่อน ถ้ามีฐานขึ้นมา ใจของเรามีฐานขึ้นมาควรแก่การงาน

ถ้าใจมันกรรมฐาน ฐานลงที่ใจ ความฝึกฝน ความพอใจ เห็นโทษ เห็นโทษของโลก เห็นโทษของวัฏฏะ เห็นโทษของความเป็นไฟ สิ่งนี้เป็นภัยด้วยเป็นไฟด้วยเผาไหม้ตลอดชีวิต ชีวิตนี้อายุขัยเราวันเวลาผ่านพ้นไปวันหนึ่งๆ เรานอนใจอยู่นะ เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาแล้วมันจะไม่มีโอกาส เวลาเราแก่เฒ่าขึ้นมาแล้วโอกาสมันมาจากไหน

ถ้ามันมีโอกาส หน้าที่เรายังทำได้เราต้องรีบกระทำกับเรา เรารีบกระทำเพื่อผลประโยชน์กับเราขึ้นมา ผลประโยชน์เกิดขึ้นมาจากที่เราจะทำคุณงามความดี เพื่อสะสมลงที่ใจ คุณงามความดีเป็นพื้นฐานก่อน คุณงามความดีจากภายนอกแล้วคุณงามความดีจากภายใน

คุณงามความดีจากภายในเวลามันร้อน เวลามันร้อนมันคิดฟุ้งซ่านออกไป นั่นน่ะ มันเป็นความร้อน เป็นโทสะ เป็นโมหะต่างๆ ที่มันสะสมเข้ามา มันไม่เข้าใจ มันปัดออกจากใจไม่ได้เลย นั่นน่ะ ความดีภายในเกิดจากตรงนี้ เกิดจากความสงบของใจ ถ้าใจเราสงบขึ้นมา ใจเรามีความสงบขึ้นมา มันจะมีความสุขของมันไปตามธรรมชาติของมัน มันเป็นสิ่งที่เหมือนเชื้อไฟ ไฟลุกอยู่ตลอดเวลาแล้วมันเผาผลาญอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่เคยสงบ ไม่เคยปล่อยให้มันหยุดได้

อันนี้ก็เหมือนกัน เวลาความคิดของเรา มันคิดแล้วมันแผ่ออกไป มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น เวลามันอยู่เฉยๆ มันก็อุ่นตัวมันเองเพื่อรอจะเผาสิ่งที่เป็นอารมณ์เกิดขึ้นมาในใจ มันรอโอกาสที่จะเผาสิ่งต่างๆ เผาขึ้นมาเกิดเป็นความร้อน เกิดเป็นความทุกข์ในหัวใจ สิ่งนี้เกิดจากใจแล้วใจก็เผาตลอดไป

เราถึงต้องสร้าง เราตั้งใจ เราพยายามจะทรงสมาธิในหัวใจของเรา ทรงศีล ทรงธรรมในใจของเรา ศีลคือความปกติของใจ ใจมันคิดอย่างนี้มันเป็นบาปอกุศลแล้วมันไม่ควรจะเป็นมโนกรรม สิ่งที่เป็นกรรมของใจ จริตนิสัยเกิดจากหัวใจ หัวใจเกิดเป็นกรรม กรรมคือความคิดการพอใจออกไป คิดบ่อยครั้ง บ่อยครั้งเข้าก็ย้ำคิดย้ำทำ จนความคิดนั้นเป็นสันดานออกไปอย่างนั้น เราต้องพยายามดัดแปลงขึ้นมา

ศีลคือเครื่องปกป้องเปลี่ยนแปลงกิริยาของใจ ให้ใจนี้สงบตัวลง สงบตัวลง เปลี่ยนแปลงกิริยาของใจ แต่มันเกิดอยู่อย่างนี้ตลอดไป ศีลปกป้องขึ้นมา รักษาขึ้นมาจนเป็นเรื่องของอธิศีลในหัวใจ แล้วมันจะเกิดความสงบโดยที่ว่า เราตั้งสติขึ้นมา มันจะเป็นความสงบได้ง่ายขึ้นเพราะเรามีศีล

“ศีล สมาธิ ปัญญา” เกิดจากเรา เราทรงจากภายนอกแล้วทรงจากภายใน ทรงในเรื่องของเราเอง ทรงในตัวของเราเอง ใครจะรู้กับเรา เราต้องรู้กับเราเอง มันเป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะหัวใจ หัวใจจะเร่าร้อนเราก็รู้ความทุกข์ยาก ความทุกข์เป็นอย่างไร มันเผาในหัวใจของเรานะ จนอยู่ไม่ได้ อยู่โดยปกติไม่ได้ มันร้อนออกไป ความร้อนนี่ไม่ต้องบอกกัน ทุกคนมีอยู่ในหัวใจเพราะมันมีอยู่โดยธรรมชาติ

มีอยู่โดยธรรมชาติเพราะเกิดมาจากกิเลส คนเราเกิดมาพร้อมกับกิเลส กิเลสในหัวใจมันมีอำนาจบาตรใหญ่ มีอำนาจบาตรใหญ่ในหัวใจของเรา แล้วมันไม่มีสิ่งใดจะไปบังคับมัน เว้นไว้แต่ธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา เว้นไว้แต่สิ่งนี้ที่เข้าไปบังคับมัน บังคับด้วยความพอใจของเรา ถ้าเราไม่พอใจเราจะเอาอะไรไปบังคับ สิ่งนี้มันเป็นการซื้อหาไม่ได้ เป็นการไหว้วานไม่ได้ ต้องทำเองทั้งหมด

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้ทางให้แล้วเราพยายามทำของเรา เราทำของเราขึ้นมาก็เป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา ถ้าเราทำของเราขึ้นมาไม่ได้ เรารู้อยู่ แต่เราไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นมาเป็นประโยชน์ของเราได้ นี่มันถึงน่าน้อยเนื้อต่ำใจ น้อยเนื้อต่ำใจในอำนาจวาสนาของเรา

ถ้าน้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาของเรา เราต้องพยายาม ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จต้องอยู่ที่นั่น น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อนได้ แล้วความพยายามของเราเกิดขึ้นมาทำไมเราทำใจของเราไม่ได้ ใจของเราเองและมันเป็นสิ่งที่เป็นกุศลด้วย สิ่งที่เป็นกุศลควรจะเกิดในหัวใจของเรา ควรจะเบิกบานในหัวใจของเรา เรามีความเบิกบานใจ มีความพอใจ มีการใคร่พอใจทำ

ถ้าใคร่พอใจทำ ตั้งสติขึ้นมา ตั้งสติแล้วพยายามตั้งไว้แล้วเดินจงกรม ทำสมาธิภาวนา มันอยู่ที่ตรงนั้น เหตุจะเกิดเกิดตรงนั้น ถ้าเราไม่สร้างเหตุขึ้นมา เหตุไม่เกิด เหตุไม่มี แล้วผลเอามาจากไหน ผลมันจะเกิดมาลอยๆ มาจากไหน มันเป็นไปไม่ได้เลย เรื่องของโลกเขา มันยังเป็นเรื่องของบุญกุศล มันต้องพึ่งพาอาศัยกัน มันจะเกิดมาลอยๆ มีการให้กัน นั่นมันเป็นอำนาจวาสนา

แต่สิ่งที่ว่าเกิดในหัวใจเราเกิดลอยๆ มันเป็นไปไม่ได้ ต้องเกิดจากการกระทำ เกิดจากความจริง เกิดจากปัจจัตตัง ปัจจัตตัง รู้จำเพาะ รู้โดยประสบการณ์ตรงของจิตนั้น ถ้าจิตประสบการณ์ตรงกับสิ่งนั้น จิตนั้นจะปลดเปลื้องในเรื่องของหัวใจออกไปได้ จะปลดเปลื้องความเห็นของใจ ปลดเปลื้องความทุกข์ร้อนออกจากใจ มีความร่มเย็นเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา มีความร่มเย็น

เวลาทุกข์นี่ทุกคนรู้จักว่าทุกข์ แต่เวลามันร่มเย็นขึ้นมา คนปฏิบัติเท่านั้นถึงจะร่มเย็น

คนที่มีความสงบของใจมันจะมีความร่มเย็น มันจะตื่นเต้น มันจะแปลกประหลาดมหัศจรรย์กับสิ่งที่เกิดขึ้นจากในหัวใจของเรา สิ่งนี้ไม่สามารถซื้อหาได้ สิ่งที่เกิดขึ้นจากใจของเรานี้มันต้องแสวงหาของเราขึ้นมา แล้วเราทำของเราขึ้นมา มันจะเป็นสมบัติของเรา แล้วเป็นความสุขของเรา เป็นความสุขของเราแล้วเรามีอำนาจวาสนา อำนาจวาสนาทรงสิ่งนี้ไว้ได้ ต้องทรงไว้ได้

สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายนี้แปรสภาพทั้งหมด ความเกิดขึ้นนี้ก็เกิดขึ้นชั่วคราว ถ้าเรารักษาไม่เป็น เราถึงต้องฝึกฝน มีวสี ชำนาญในการเข้าออกในการเริ่มต้น เริ่มต้นว่าสงบอย่างนี้ เราเคยทำอย่างไร เราวางอารมณ์ของเราอย่างไร วางอารมณ์ของเรา ให้วางอารมณ์ให้ตรงกับอารมณ์นั้น อารมณ์ที่เป็นเหตุ กำหนดคำบริกรรมของเรา

แต่อารมณ์ที่มันเกิดขึ้นในความสงบนั้น เราไม่ต้องไปคาดหมายเพราะสิ่งนั้นเป็นผล ถ้าเราไปคาดหมายผล เราอยากได้ผล เราอยากได้ผลเราถึงภาวนากันไม่ได้ผล เพราะความอยากได้นี้เป็นตัณหาความทะยานอยาก เราต้องวางความอยาก

เราพอใจของเรา เราพอใจการกระทำ หน้าที่ของเราหน้าที่สร้างเหตุ เราจะหาเหตุ หาเหตุสร้างเหตุขึ้นมาให้ใจนั้นเกาะกับเหตุนั้น จนกว่าจิตนั้นจะสงบโดยธรรมชาติของเขา เขาจะสงบหรือไม่สงบหน้าที่ของเขา หน้าที่ของเราพยายามตั้งสติ แล้วพยายามกำหนดคำบริกรรม แล้วพยายามเดินจงกรมภาวนาของเรา นี้คือหน้าที่ของเรา

หน้าที่ของเราไม่ใช่หน้าที่ไปกะเกณฑ์ผลงานว่าจะเป็นไป การกะเกณฑ์ผลงานว่า ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างความพอใจของเรา นั้นเป็นกิเลสมันหลอกใช้ กิเลสมันหลอก หลอกเราให้คาดหมายผล ความคาดหมายผล ธรรมะสอนไว้แล้ว ธรรมนี้ต้องเป็นมัชฌิมาปฏิปทา ธรรมนี้ต้องเป็นสมควรแก่ความเป็นจริง จะไม่ให้เกิดโดยที่ว่าเราคาดหมายโดยกะเกณฑ์ไม่ได้ สิ่งใดกะเกณฑ์ขึ้นมา เป็นความด้นเดา เป็นความคาดหมาย

สิ่งที่คาดหมาย ปล่อยวางสิ่งนั้นไว้ไม่ไปคาดหมาย หน้าที่ของเราทำความเพียรของเราเข้าไป รักษาตน รักษาตนไว้เพื่อประโยชน์ของเรา รักษาตน รักนวลสงวนตัว ต้องรักนวลสงวนหัวใจด้วย หัวใจนี้ต่างหากเป็นสิ่งที่รับรู้ทั้งหมด เวลาหัวใจนี้หลุดออกจากร่างนี้ไป ร่างนี้ไม่มีคุณค่าใดๆ เลยนะ เขาไม่ต้องการด้วย ซากศพต่างๆ เขามีแต่เอาไปไว้วัด เอาไปทำลาย ต้องเผาทิ้งไปซะ เพราะเอาไว้แล้วมันเป็นสิ่งที่กลัว เป็นสิ่งที่น่าน่ากลัว

แต่หัวใจนี่สิ่งที่ประเสริฐ ความรับรู้เวลาสุขใจ เวลามีความสุขกัน มองหน้ากันด้วยความสุข ด้วยความเข้าใจกัน อบอุ่นหัวใจนะ ถ้าใจมีความสุขขึ้นมามันสุขของตัวเอง ๑ แล้วยังเผื่อแผ่เป็นที่พึ่งอาศัยของสัตว์โลก ความสุขของใจเกิดจากที่ว่าใจนี้ถึงสำคัญ

ใจนี้ ทุกข์ ทุกข์ที่นี่ ไม่ได้ทุกข์ที่อย่างอื่นเลย อย่างอื่นนั้นเป็นสิ่งที่ยั่วยุ มันเป็นเครื่องยั่วยุ เป็นเครื่องกระตุ้นเตือนให้จิตนี้มันฟุ้งซ่านต่างหาก โลกนี้อยู่ตามประสาโลกของเขา เราเกิดมารับรู้โลกนี้แล้วเราถึงรับรู้สิ่งต่างๆ แล้วเราถึงได้เดือดร้อนไปกับโลกเขา โลกของเขาเป็นอยู่อย่างนี้โดย ธรรมชาติของเขา

โลกธรรม ๘ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเป็นของเก่าแก่มีอยู่แต่ดั้งเดิม โลกธรรม ๘ สรรเสริญ นินทา ในการที่มีลาภ เสื่อมลาภโดยธรรมชาติของเขา เราก็แสวงหา หายศ หาลาภ หาต่างๆ ขึ้นไป มีแล้วก็เสื่อมไป มีขึ้นมาเจริญขึ้นมาแล้วก็เสื่อมไปตามธรรมชาติของเขา ของโลก เรื่องความเสื่อมความเจริญของโลกเป็นแบบนั้น

ถึงว่า ไม่ใช่สิ่งที่เป็นความทุกข์ ไม่ใช่สิ่งที่ว่าเป็นสาระที่ว่าเราจะต้องไปยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งนั้นเป็นที่พึ่ง มันเป็นที่พึ่งของโลก มันเป็นที่พึ่งเรื่องของร่างกาย อาหารของกาย ความสนใจของกาย กายจำเป็นต้องใช้อย่างนั้น เราก็หาสิ่งนั้นเวลาจะหาสิ่งนั้น แต่เวลาจะหาเรื่องของใจ จะหาเรื่องจิตตั้งมั่น จะเอาเรื่องสิ่งนั้นมาเป็นคุณค่าไม่ได้ ต้องวางไว้ให้ได้ ถึงเวลาวางต้องวาง ถ้าวางแล้วเราถึงจะปฏิบัติ ถ้าเราไม่วางเราจะไม่มีเวลาปฏิบัติเลย

เวลามันจะมีความจำเป็นไปทั้งหมด คนดีจะบริหารเวลาได้ดีมาก คนโลเลจะไม่บริหารเวลาของเขา อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราเป็นคนดี เรามีอำนาจวาสนา เราจะบริหารเวลาของเรา เราก็เสียดายเวลาของเรา นี่เราเสียดาย เราติด ธรรมะนี้ถึงบอกว่าให้ข้ามพ้นทั้งความดีและความชั่ว พ้นออกไปทั้งหมด ติดดีก็ติดสิ่งที่ว่าแก้ยาก ติดชั่ว เวลาความชั่วขึ้นมาเราต้องปลดเปลื้อง พยายามละออกไปจากใจ แต่ติดดี นี่ก็ติดดีมันถึงวางไม่ได้ ถ้าวางไม่ได้เราจะติดข้องไปตลอด

แล้วเวลาเราจะตาย เวลาเราจะตาย เวลามันจำเป็นทำไมมันวางได้ ทำไมต้องพลัดพรากจากไป เวลาเราจะตายขึ้นมานี่ไม่มีใครสามารถยับยั้งได้ มันต้องพลัดพรากไป มันถึงเวลาตายแล้วมันต้องตายไป ถึงว่าเวลาวางต้องวาง ถ้าวางเวลาได้ เราถึงจะมีโอกาสประพฤติปฏิบัติ

โอกาสประพฤติปฏิบัติ เวลาขนาดไหนเราทำตามแต่สัจจะของเราตั้งขึ้นมา แล้วทำของเราขึ้นไป ทำของเราเพื่อจะหาหลักการของใจ ถ้าหาหลักใจของเราได้ ใจนี้มันไปเกาะเกี่ยวสิ่งใดมันแผ่ซ่านออกไปรับรู้สิ่งต่างๆ มันแผ่ซ่านออกไปแล้วมันยึดสิ่งต่างๆ นั้นออกให้มาเป็นคุณค่าเผาลนหัวใจ นี่เราต้องทำลายตรงนั้นเข้าไป

มันยึดมั่นถือมั่นมันถึงต้องเป็นทุกข์ มันยึดมั่นถือมั่นแล้วมันถึงไม่รับรู้สิ่งตัวมันเอง รับรู้สิ่งต่างๆ ยึดทั้งหมดเป็นเรา ยึดสิ่งต่างๆ ยึดโดยสัญชาตญาณ ยึดโดยจิตใต้สำนึก ไม่ได้ยึดโดยที่เราเข้าใจ

เราเข้าใจ ของเราเอามานี่เราทำของเราขึ้นมา เราทิ้งออกไปก็ได้ ถ้าเราคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ว่าเราควรจะสละทิ้ง เราสละทิ้งออกไปได้ นั้นเราสละทิ้งออกไปมันเป็นการประชดประชันกัน มันเป็นสิ่งที่ว่าไม่เป็นความจริง มันจะเป็นความจริงมันต้องทิ้งที่ใจ ให้ใจมันทิ้งโดยสัจจะ โดยความจริงของมัน โดยอริยสัจ

“ทุกข์ควรกำหนด” สิ่งใดที่เผาลน ความสุข ความพอใจมันก็มีความทุกข์พอสมควร ความทุกข์ของเขา เวลาความสุข สิ่งที่ความสุขนั้นมันพลัดพรากเราไป มันหมดเวลาของความสุขนั้น เราก็เรียกร้อง เราเรียกร้องสิ่งนั้นเพื่อต้องการสิ่งนั้นอยู่กับเรา แม้แต่ความสุขมันก็ยังต้องพลัดพรากออกไป แม้แต่ความสุขมันก็ให้ค่าเป็นความหงุดหงิดในหัวใจของเราได้ แล้วความทุกข์นี้มันยิ่งมีให้ค่ามหาศาล

ความทุกข์ในใจ ความทุกข์ในใจเผาลนใจ ทุกข์เกิดขึ้นที่ใจ ใจนี้ถึงเห็นสิ่งนั้นประจักษ์ ถ้าเรื่องของความทุกข์เห็นประจักษ์ ประจักษ์ในความทุกข์ของมัน เวลามันให้มันเป็นผลของมันแล้ว เป็นวิบากกรรมของใจดวงนั้น แต่เราต้องจับทุกข์ให้ได้ ถ้าเราจับทุกข์ได้เราถึงกำหนดสิ่งนี้ได้ เราถึงแยกแยะความเห็นของมันที่ว่ามันแผ่ซ่านออกไปรับรู้สิ่งนั้น เราถึงไม่เห็นใจของเรา เห็นแต่สิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นเป็นความคาดหมายเป็นผลของใจของเรา

ใจนี้ยึดแล้วถึงเกิดอารมณ์ อารมณ์นี้เสพอารมณ์จนหมดไป ๑ รอบแล้ว เรายังถึงว่า เรายังพอใจว่าเรารับรู้สิ่งนี้ นั่นน่ะ เพราะมันรู้สิ่งนั้นมันเสียดาย ถ้าเราเสียดายสิ่งที่เราอยากรู้อยากเห็น เราเสียดายสิ่งต่างๆ เราจะไม่เห็นใจของเรา เราจะจับต้องใจของเราไม่ได้ ถ้าเราจับต้องใจของเราไม่ได้ เราจะไปแก้ไขตรงไหน เราจะไม่สามารถแก้ไขของเราได้ แล้วทุกข์มันเกิดที่ใจ ไม่ใช่ทุกข์เกิดจากที่อื่น

เราต้องพยายามทำความสงบ ถึงว่าต้องทำความสงบ เราพยายามเห็นคุณค่าของมันแล้ว เห็นคุณค่าของการทำงาน เห็นคุณค่าของงาน คนจะเห็นคุณค่าของงานต้องพยายามสร้างสมของเราขึ้นมา สิ่งนี้เป็นคุณค่าเป็นประโยชน์กับสัตว์โลกทั้งหมด สัตว์โลกจะพ้นออกจากกิเลสได้ด้วยความเพียรของตัว ด้วยมรรคอริยสัจจังเกิดขึ้นมาจากหัวใจ

มรรคจะเกิดจากภายใน มรรคสิ่งที่เป็นภาวนามยปัญญา สิ่งที่เราเกิดเราทำขึ้นมามันไม่เป็นของเหลือบ่ากว่าแรงกับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ในเมื่อใจมันมีอยู่ ใจมันมีอยู่ เหมือนกับวัตถุสิ่งของมันมีอยู่ ทำไมเราเอาวัตถุสิ่งของนั้นมาดัดแปลงให้มันดีงามขึ้นมาไม่ได้ ถ้ามันไม่มีวัตถุสิ่งของ ไม่มีต้นทุนเลย เราถึงไม่สามารถทำอะไรได้

นี้เรามีต้นทุนอยู่ แล้วเราเชื่อพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนเรื่องการดัดแปลงต้นทุนนี้ ให้ต้นทุนนี้กลายเป็นสิ่งที่ว่าหมดสิ้นไป โดยหมดสิ้นไป หมดสิ้นไปแบบคงที่ หมดสิ้นไปแบบมีอยู่ ถ้าหมดสิ้นไปโดยการกระทำของเรา โดยการกระทำของภาวนามยปัญญา ทำลายหัวใจออกทั้งหมดแล้วจะเห็นคุณค่าอันประเสริฐมหาศาล เกิดขึ้นจากใจของเรา เกิดขึ้นจากเราที่ล้มลุกคลุกคลาน

จากเราที่ว่าก้าวเดินไม่เป็นก้าวเดินไม่ได้ มีความล้มลุกคลุกคลานว่าไม่มีอำนาจวาสนา ไม่มีอำนาจวาสนามาจากไหน ในเมื่อเรามีความใฝ่ใจในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าเรามีการใฝ่ใจในการประพฤติปฏิบัตินี้คืออำนาจวาสนา เพราะเริ่มต้นวัตถุต้นทุนก็มีอยู่ ผู้ที่ปั้นแต่งในสิ่งที่ทำให้เกิดเป็นคุณงามความดีก็มีอยู่ สิ่งที่มีอยู่นี่มันทำไมถึงจะหลุดมือจากเราไปได้ ถึงจะไม่ประสบความสำเร็จในตามความเป็นจริง มันต้องประสบความสำเร็จตามความเป็นจริง ถ้าเราทำด้วยมัชฌิมาปฏิปทา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกับพราหมณ์ไว้ว่า เวลาเราสอนคนเหมือนกับสอนม้า สอนม้าชี้ทางไปถ้าเขาเดินไม่ถึง เขารู้จักทาง เขาเดินไม่ถึง เขาก็ไม่ถึงของเขาเอง ชี้ทางเดินไปแล้วเดินไม่ถึง

อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราพยายามก้าวเดินของเรา มันจะเดินถึงหรือไม่ถึงนั้นมันเป็นอำนาจวาสนา เป็นสิ่งที่ว่าเราพยายามทำของเราขึ้นมา แล้วเติมสิ่งนี้ให้เต็ม ต้นทุนมีอยู่การประพฤติปฏิบัติมีอยู่ แล้วสิ่งที่มันเป็นการดัดแปลงตลอด มันเป็นการฝึกฝนตลอด การฝึกฝนตลอด สิ่งที่เป็นความผิดนี้ก็ต้องเป็นครู สิ่งที่เป็นความผิดก็เป็นประสบการณ์ของเรา

สิ่งที่เป็นความถูกต้องขึ้นมา อันนั้นก็เป็นประสบการณ์ของเรา สิ่งที่เป็นความถูกต้องขึ้นมามันก็ทำให้เราเจริญงอกงามขึ้นไป สิ่งที่เจริญงอกงามขึ้นไปความสุขเกิดขึ้นจากใจ ใจจะมีความสุขไปกับความประพฤติปฏิบัติ มีความตื่นเต้น มีความแปลกประหลาดมหัศจรรย์ไปกับสิ่งนั้น แล้วเกาะเกี่ยวกับสิ่งนั้นไป มันถึงไม่เข้าทางความเป็นจริง

ถ้าเข้าทางความเป็นจริง “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายนั้นต้องดับเป็นธรรมดา” สิ่งนั้นดับเป็นธรรมดา ตัวมันเองก็เป็นสิ่งนั้นเหมือนกัน ตัวมันเองก็เป็นไตรลักษณ์อยู่โดยธรรมชาติของเขา

แต่มันไม่เห็นสิ่งนี้ ถ้าไม่เห็นสิ่งนี้มันก็ยึดมั่นในสิ่งนี้ ยึดมั่นสิ่งนี้มันก็เกาะเกี่ยวกลายเป็นกิ่งก้านสาขาของใจ กิ่งก้านสาขาของใจ ของใบไม้ใบอ่อนของใจมันแผ่ออกไป แผ่ออกไปขนาดไหนมันออกไปแล้วมันต้องได้รับแสงแดด รับสารอาหารทั้งนั้น สิ่งที่รับเข้ามานั้นก็เป็นสิ่งที่กระทบกระเทือนกับใจ

สิ่งที่กระทบกระเทือนกับใจ เป็นบุญกุศลก็ได้ เป็นอกุศลก็ได้ มันเกิดขึ้นตลอดเวลา เราจับต้องสิ่งนี้แล้ววิเคราะห์วิจัยสิ่งนี้ สิ่งนี้ให้มันปล่อยวางสิ่งนี้ไว้ตามความเป็นจริง ถ้ามันปล่อยวางสิ่งนี้เป็นตามความเป็นจริง ใจมันจะหดย่นเข้ามา หดย่นเข้ามาจากที่ว่ามันแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปในวัฏวน ในโลกธาตุ ในความรับรู้ต่างๆ มันแผ่กิ่งก้านสาขาไปรับรู้เอาแต่เป็นฟืนเป็นไฟเข้ามาเผาลนใจ มันจะเผาลนใจของเราแล้วก็เกิดความทุกข์

ทุกข์อยู่ที่ใจ อยู่เพราะความไม่เข้าใจ อยู่เพราะความไม่รู้

ถ้ารู้ รู้ตรงไหน? รู้ตรงสิ่งที่ว่าสิ่งนี้มันเป็นโทษ โทษเพราะความเห็นจริง โทษเพราะความใคร่ครวญ ก่อนจะใคร่ครวญมันเหมือนกับเด็ก เด็กจะไม่รับ ทำงานไม่เป็น ทำงานไม่ได้เลย ต้องเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา สิ่งที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาจะเข้าใจว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดไม่เป็นประโยชน์ ประโยชน์ของโลกเขา สิ่งนั้นเป็นเรื่องประโลมโลก สิ่งที่ว่าเป็นความจริงในเนื้อหาสาระของโลกเขา

นี้ก็เหมือนกัน ถ้าใจมันตั้งขึ้นมา มันเป็นสัมมาสมาธิ มันตั้งมั่นขึ้นมา มันเหมือนกับจิตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา มันเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา มันจะเห็นอาการของใจว่าไปเกาะเกี่ยวสิ่งใด เกาะเกี่ยวกับในวัฏฏะ วัฏฏะคือการเกิดของภพชาติในหัวใจ ภพชาติเกิดเพราะใจนี้แผ่ออกไปรับรู้สิ่งต่างๆ แล้วก็ยึดสิ่งนั้น มันยึดสิ่งนั้นเพราะไม่รู้ มันถึงเป็นไป ยึดแล้วเป็นไปตามธรรมชาติของเขา การทำงานของเขา งานของธาตุขันธ์เป็นแบบนั้น แล้วกิเลสมันก็อาศัยสิ่งนั้นเป็นความยึดมั่นถือมั่นโดยธรรมชาติของใจเป็นอย่างนี้

แล้วเราทำใจของเราให้เจริญขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา จับสิ่งที่เขาเคยใช้เคยสอยอยู่นั่นแหละ จับสิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นปกติธรรมดาของหัวใจที่มันเคยออกไปหาเหยื่ออยู่อย่างนั้น แล้วจับแล้วย้อนกลับเข้ามา จับแล้วตั้งไว้แล้วย้อนกลับ จะจับได้ต้องมีความสงบของใจเป็นพื้นฐาน สัมมาสมาธิควรแก่การงาน

การปั้นโอ่ง ปั้นไห เขาต้องย่ำดินจนดินมันควรแก่การงาน เขาถึงจะปั้นโอ่งปั้นไหขึ้นมาได้ นี้เราจะแก้ทุกข์ในหัวใจ เราต้องปั้นใจของเราขึ้นมาให้ควรแก่การงาน สิ่งที่ควรแก่การงานกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ กิ่งก้านสาขาของใจนั้นมันเป็นเงา เป็นสิ่งที่ใจนี้ไปจับต้องแล้วมันถึงเป็นสร้างเป็นอารมณ์ขึ้นมา

ถ้าใจเราสงบเข้ามา สงบเข้ามา มันจะเห็นสิ่งนี้เป็นเงา ถ้าเห็นสิ่งนี้เป็นเงา ความสงบของมันก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา นี่ใจมันเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาอย่างนี้แล้วมันถึงจะจับต้องสิ่งนี้ จับต้องสิ่งนี้ได้นั้นก็เป็นการได้งาน ถ้าได้งานมันก็เป็นการฝึกฝนปัญญา เป็นงานของเรา

งานในการภาวนามยปัญญา กับงานของโลกมันต่างกัน งานของโลกเขา เหมือนแม้กระทั่งผู้ที่บริหาร ผู้ที่บริหารก็ใช้สมองใช้สถิติแล้วตัดสินใจออกไป เป็นการทำงานของสมองไป แต่การภาวนามยปัญญานี้เป็นงานของใจ งานของใจไม่ใช่งานของสมอง งานของสมองนี้มันเป็นสัญญา มันเป็นข้อมูลเดิม สิ่งที่เป็นข้อมูลเดิมนั้นเป็นสัญญาทั้งหมด สิ่งที่เป็นสัญญานี้มันถึงเข้าไปทำให้การประพฤติปฏิบัติของเราเป็นความคาดหมายด้วยข้อมูลเดิม

ข้อมูลเดิมนี้เราเอาขึ้นมาเป็นจุดเป็นประกายแล้วเราใช้เข้าไป จะว่าใช้ไม่ได้เลยมันก็จะใช้ได้ตอนที่ว่าปัญญาไม่ก้าวเดิน ปัญญาไม่ก้าวเดิน เราจะอาศัยสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ว่าเราจุดประกาย จุดเป็นจุดประเด็นขึ้นมาให้ประเด็นมันเกิดขึ้นมา จับประเด็นนั้นได้แล้วสาวเข้าไป การสาวเข้าไป นั่นน่ะ ฝึกฝนการงาน

งานของใจเป็นงานใคร่ครวญของใจ สิ่งที่งานของใจ เห็นไหม ขันธ์มันจะหมุนไปขนาดไหนมันจะเป็นไป สังขารปรุงแต่งขึ้นมา ปรุงแต่งเป็นธรรม เมื่อมีสัมมาสมาธิแล้วสังขารจะปรุงแต่งเป็นธรรม แยกแยะเป็นธรรม การใคร่ครวญด้วยธรรม ด้วยธรรมนั้นเป็นงานของใจ งานของใจเป็นการแยกแยะ แยกแยะไม่ให้ใจนี้ไปเกาะเกี่ยวกับกิ่งก้านสาขาของอารมณ์นั้น

สิ่งที่เป็นอารมณ์นั้น กิ่งก้านสาขาของใจนั้นไปเกาะเกี่ยวแล้วก็ไปยึดมั่นถือมั่นกับโลกเขา ยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งที่ว่าเป็นเรื่องของโลก โลกนี้เป็นอย่างนั้นเป็น มันเจริญแล้วเสื่อมโดยธรรมชาติของเขา ถ้าไม่มีสิ่งนั้นมาเป็นเครื่องผูกพัน มันก็ยึดตัวเอง ยึดความคิดของตัวเอง ยึดโลกภายใน

“โลกนอก โลกใน” โลกนอกคือหมู่สัตว์ สัตว์ทั้งหลายนี้เป็นโลก โลกวัฏวนนี้เป็นโลกวัฏวนในเรื่องหมู่สัตว์ แล้วโลกของเราล่ะ โลกของเราคือโลกในตัวของเรา ความคิดของเรา ถ้าไม่มีสิ่งใดๆ เป็นเหยื่อ มันก็เอาความคิดของตัวเองนั้นเป็นเหยื่อ สิ่งที่เป็นเหยื่อนั้นมันก็เกาะเกี่ยวออกไป

นั่นน่ะ ภาวนามยปัญญาเกิดจากการแยกแยะใคร่ครวญสิ่งนี้ ใคร่ครวญสิ่งที่มันเกาะเกี่ยวกับความเห็นของใจที่มันยึดมั่นถือมั่น มันเข้าใจว่าเป็นอาหาร สิ่งที่เข้าใจว่าเป็นอาหารก็ต้องเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นคุณ ถ้าเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นคุณมันก็เสวยอารมณ์โดยธรรมชาติของมัน แล้วก็อยู่อย่างนั้น แล้วก็เอาไฟมาเผาลนใจ โดยความแก้ไขใจของตัวเองไม่เป็น ปลดเปลื้องหัวใจของตัวเองไม่เป็น มันไม่มีความปลดเปลื้อง ไม่มีความแก้ไข นั้นมันไม่ใช่งาน มันก็เป็นการก้าวเดินไปตามกระแสของโลกเขา ตามแต่กระแสของโลกภายนอก

“โลกนอก โลกใน”

“โลกนอก” ก็คือการสื่อความหมายเกี่ยวกับเรื่องโลกภายนอก

“โลกใน” ก็ความคิดของตัวเอง

ความคิดของตัวเองมันเผาลนใจมาขนาดไหน มันเผาลนใจให้เร่าร้อน แล้วมันก็ให้ความทุกข์ไปในหัวใจตลอด แยกแยะสิ่งนี้ แยกแยะออกไปตลอด มันเป็นปัญญาของมันขึ้นมา แยกแยะได้ จับต้องได้

คนเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็ก เด็กจะจับต้องสิ่งใดก็แล้วแต่มันเป็นของเล่น มันทำเป็นการเล่นไปหมด สิ่งที่เล่นนั้นคืออารมณ์เคยใจ สิ่งที่เคยใจมันก็เสวยอารมณ์ไปตลอด แต่ผู้ใหญ่ขึ้นมาเห็นสิ่งนั้นเป็นกิจการเป็นงานเป็นการขึ้นมา จับต้องสิ่งนี้ได้ นี่ภาวนาขึ้นมา มันจะเป็นอย่างนี้

คนภาวนาเป็น เป็นเพราะจับต้องสติปัฏฐาน ๔ ได้ จับต้องธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ในการนี้เป็นที่จิตในหัวใจนี้มันแผ่กิ่งก้านสาขาออกมายึดสิ่งนี้เป็นที่ใคร่ครวญ สิ่งนี้เป็นเหยื่อของโลกไป นั่นน่ะ ย้อนกลับเข้ามาจับต้องสิ่งนี้แล้วแยกแยะออกไป

พยายามฝึกฝน สิ่งใดเกิดขึ้นต้องพยายามกระทบกับใจแล้วต้องสังเกต แล้วจับสิ่งนั้นได้ สิ่งที่กระทบกับใจแล้วมันมีอารมณ์ดูดดื่ม นั้นน่ะ สิ่งนั้นยิ่งดีมาก อะไรดูดดื่มแยกออกไป มันมีคุณค่าตรงไหน ความเป็นไปนั้นเป็นไปโดยธรรมชาติของเขา เป็นธรรมชาติของเขาแล้วเราให้ผลเป็นอะไร?

ให้ผลเป็นอนิจจังทั้งหมด ให้ผลเป็นความให้ค่าชั่วคราวทั้งหมด แล้วสิ่งที่ตกผลึกในหัวใจนั้นคืออะไร? คือการยึดมั่นถือมั่น ถึงการปล่อยวางก็ปล่อยวางเพราะรับรู้ว่าปล่อยวาง มันปล่อยวางเพราะว่ามันเข้าใจตามสภาวะ พอสภาวะเข้าใจรอบหนึ่ง ความรอบหนึ่งของความเข้าใจในสภาวะนั้นมันปล่อยวาง นี่มันถึงต้องทำบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้ง การซ้ำซาก การคาด การหมาย

การทำนา คนเรามีนา ปีนี้ก็ทำนาที่นี่ ปีต่อไปก็ทำนาที่เดิมของตัวเอง ไม่ได้ทำนาเปลี่ยนที่เลย นี้ก็เหมือนกันงานการเลาะหัวใจที่มันออกไปเกี่ยวกับกิ่งก้านสาขาของใจ เราก็ต้องทำซ้ำลงไปตรงนั้น สิ่งที่ทำซ้ำของมันนั้นคือวิปัสสนาบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า จะไม่ทิ้งสิ่งนั้น จนกว่ามันจะทรงตัวมันจะเต็มที่ของมัน จนมันจับต้องสิ่งใดไม่ได้ มันปล่อยวาง มันเวิ้งว้างจนจับต้องสิ่งใดไม่ได้ จนถึงจุดหนึ่งนะ จุดที่มันถึงที่แล้วมันต้องทำลายกัน สิ่งที่ทำลายกัน ทำลายกิ่งก้านสาขา ทำลายหัวใจแล้วทำไมสิ่งที่ยิ่งทำลายมันยิ่งมีคุณงามความดีกับใจ

นี้ก็เหมือนกัน พอทำลายกิ่งก้านสาขาออกไป พอมันทำลายแล้วยิ่งพอทำลายมันขาดออกไป มันขาดออกไปจากใจ ต้นไม้กับกิ่งก้านสาขาของต้นไม้แยกออกจากกัน แยกออกจากกันด้วยอำนาจของภาวนามยปัญญา อำนาจของธรรม มรรคสามัคคี มรรคสมุจเฉทปหาน ประหารสิ่งนี้ขาดออกไป ทุกข์เป็นทุกข์ จิตเป็นจิต แยกออกจากกัน

ความแยกออกจากกันชั่วคราว ชั่วคราว แยกออกจากกันด้วยความจริงเป็นของจริง ไม่ใช่ของชั่วคราว เป็นอกุปปธรรมออกจากกันด้วยธรรม ออกกันโดยที่ว่าจะกลับมาสืบต่อกันอีกไม่ได้เลย แต่มันแยกออกไปชั่วคราว ชั่วคราวหมายถึงว่ามันแยกแล้วมันกลับมาทำงานร่วมกันได้

สิ่งที่หลุดออกไปนั้นคือกิเลส กิเลสนี้โดนตัดออกไปโดยธรรมชาติ โดยจะไม่มีการฟื้นขึ้นมาอีกเลย สมุจเฉทปหานตายแล้วไม่ฟื้นอีก แต่แยกแล้วกลับมารับรู้อารมณ์อีกเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ว่าขันธ์นั้นมันสะอาดขึ้นมา กิ่งไม้กับใบไม้นั้นมันขาด อำนาจของธรรม ขาดมี ไม่ใช่ขาดสูญ นั้นมันก็ปล่อยวางด้วยความรู้สึกตามความเป็นจริง สิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเรา นั่นน่ะ ใจมันหดย่นเข้ามา

เราจะเห็นใจของเรา ทุกข์เกิดที่ใจ เราต้องทำลายหัวใจของเราให้ได้ นี้เราทำลายกิ่งก้านสาขาของใจ แล้วใจมันก็หดร่นเข้าไป หดร่นเข้าไป อยู่ในใกล้ตัวมันเองเข้าไป เราก็ต้องเข้าไป จากกิ่งก้านสาขาก็ต้องเป็นกิ่งที่ใหญ่ขึ้นไป สิ่งที่กิ่งที่ใหญ่ขึ้นไป แขนงที่ใหญ่ขึ้นไป เรามันต้องใช้กำลังมากขึ้น

สิ่งที่กำลังมากขึ้น แต่เพราะเราทำงานเป็น แต่เพราะเราเริ่มต้นจากทำงานเป็น คนว่ายน้ำ คนหัดขับรถ ถ้าเขาไม่เป็นรถ เขาจะหัดไม่ได้เลย แล้วพอมันเป็นขึ้นมาแล้ว มันจะไม่ลืมสิ่งนั้นเลย คนว่ายน้ำเป็นแล้วตกน้ำเมื่อไรก็จะว่ายได้ตลอดไป เพราะมันเป็นธรรมชาติของการว่ายน้ำเป็น คนว่ายน้ำไม่เป็น เริ่มต้นของเราขึ้นมาเราว่ายน้ำของเราไม่เป็น เราว่ายน้ำไม่เป็นงานมันถึงได้เป็นงานทุกข์ยากมาก พอเราว่ายน้ำเป็น เรายกขึ้นจนเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา แล้วเราว่ายน้ำเป็น

เราวิปัสสนาจนแตกกิ่งก้านสาขาของใจ หลุดออกไปจากใจ นั้นเป็นอำนาจของธรรม นี่อำนาจของธรรมเกิดขึ้นมา ธรรมของเราเป็นผลงานของเรา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมของครูบาอาจารย์เป็นธรรมของท่าน ท่านเป็นคนแสวงหา ท่านพยายามรักษาขึ้นมา

ยกขึ้น ปั้นขึ้น ยกขึ้นจากหัวใจของเรา จากหัวใจของเราที่มันออกไปเป็นโลกียะ เป็นโลก เป็นสิ่งที่เป็นโลก ให้เป็นโลกุตตระให้มันเป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรมอยู่ที่การดัดแปลง ถ้าดัดแปลง พลิกจากชั่วก็เป็นดี พลิกจากดีและชั่วก็เป็นใจล้วนๆ ทิ้งออกจากดีและชั่วไป เป็นการพลิก แต่การพลิกนี้มันต้องเห็นโทษ ถ้ามันเห็นโทษมันถึงจะปล่อยวางกัน ถ้าไม่เห็นโทษมันจะไม่ปล่อยวางสิ่งนั้น

เพราะจิตใต้สำนึก แก่นของกิเลส กิเลสติดมากับใจ มันเหมือนกับเป็นธรรมชาติ สิ่งที่ว่าเป็นธรรมชาติรับรู้กันอยู่อย่างนั้น สิ่งที่เป็นธรรมชาติ ธาตุขันธ์ ความคิดกับมนุษย์เป็นสิ่งที่ว่าเป็นธรรมชาติที่มันเกิดดับในร่างกายของมนุษย์นี้เป็นธรรมชาติ สิ่งนี้เป็นธรรมชาติ แต่สิ่งที่เป็นธรรมชาตินี้มันก็ให้ผลเป็นความทุกข์ความยาก

แต่ธรรม ธรรมก็เป็นธรรม ธรรมะ ธรรมชาติอันหนึ่ง สิ่งที่มีอยู่

แต่หัวใจที่ทรงธรรมมันเหนือธรรมชาติ มันรับรู้สิ่งต่างๆ แล้วมันปล่อยวางสิ่งต่างๆ ไว้

ธรรมชาติคือการทำลาย การทำลายหัวใจแล้วมันมีใจโดยที่ไม่ต้องมีชื่อ ธรรมดาเราเรียกชื่อว่า “ใจ” เรียกว่า “ใจ” แล้วใจนี้คือความรู้สึกของเรา อยู่ในหัวใจของเราแล้วมันก็คิดออกมาเป็นอารมณ์สิ่งต่างๆ ถ้าเราทำลายเข้าไป มันทำลายมันจนไม่มี จับต้องสิ่งใดๆ ไม่ได้

มันถึงเข้าไปถึงว่า “ดับ” สิ่งที่เป้าหมายของทุกข์มันเข้าไปถึงไม่ได้ ถ้าทุกข์มันไม่มีเป้าหมายที่จะวางสิ่งที่ภาชนะรองรับมัน แล้วมันจะเกิดได้อย่างไร? มันเกิดทุกข์ขึ้นมาเพราะทุกข์เกิดที่ใจ เพราะใจนี้เป็นภวาสวะ ใจนี้รับรองสิ่งนี้ไว้ รับรองสิ่งนี้ไว้ แล้วสิ่งนั้นก็ตกผลึกลงที่ใจ ใจนั้นก็มีความเร่าร้อนตลอดไป

แล้วสิ่งนี้มันสืบอยู่ในหัวใจของเรา อยู่ในร่างกายนี้ สิ่งนี้มันอยู่ในส่วนลึกของเรา เราพยายามจะเข้าไปพบสิ่งนี้ได้ เราต้องตัดรอนตัดร่นเข้าไปเพื่อจะเข้าสิ่งนี้ กิ่งก้านสาขาเราตัดแล้วมันก็ต้องเข้าไปสิ่งที่เหนือกว่า สิ่งที่เหนือกว่าในหัวใจ มันปิดบังต้นลำต้นของมันไว้ เราจะเข้าไปทำลายลำต้นนั้น ทำลายหัวใจนั้น เราต้องพยายามยกขึ้น พยายามสาวขึ้นไป เราถึงต้องทำงาน

ใจนี่ย้อนกลับตลอด สิ่งที่ทวนกระแส เรื่องของโลก เรื่องของความทุกข์ คือไปตามกระแสของโลก เราคิดโดยธรรมชาติ สิ่งที่ถูกต้อง ถูกศีลธรรม ถูกจริยธรรม ถูกกฎหมาย ไม่ผิดเลย ถ้าเราคิดตามประสาโลก นั้นคือโลก เห็นไหม ส่งออก หมุนออกไปตามกระแสของโลกเขา มันอยู่ในโลกเขา คุณงามความดีของโลกเขาเป็นคุณงามความดีอย่างหยาบๆ มันไม่มีความผิดหรอก ไม่ผิด ถ้าเราทำคุณงามทำความถูกต้องในโลกไม่มีความผิด

แต่ถ้าเป็นการปฏิบัติธรรม...ผิด ผิดเพราะการส่งออก สิ่งที่ส่งออกมันเป็นสิ่งที่ว่าเคลื่อนจากเป้าหมายออกมา เคลื่อนจากจุดที่ว่าทุกข์เกิดที่ใจ ทุกข์เกิดที่ใจ ทุกข์ต้องดับที่ใจ มันต้องทวนกระแสเข้าไป

กระแสของโลกคือหมุนออกไป งานของโลกถือว่าทำงานแล้วเป็นประโยชน์ต่อโลก สิ่งต่างๆ นั้นเป็นคุณงามความดี เราว่ามันเป็นความผิดได้อย่างไร...ไม่ผิด มันเป็นความเห็นของโลก ไม่ผิด แต่ในเมื่อเราไม่ต้องการสิ่งนั้น ถ้าเราไม่ต้องการสิ่งนั้น เราจะต้องการสิ่งที่เหนือกว่า สิ่งนั้นผิดเฉพาะในการที่ว่าเราจะประพฤติปฏิบัติ ในการจะย้อนกลับมาหาใจ ถ้ามันผิดขึ้นมา เราถึงต้องทำความสงบของใจเหมือนกัน

เรามีคำบริกรรมของมัน จิตมันจะสงบตัวเข้ามา จิตสงบตัวเข้ามา มีกำลังมีอำนาจยับยั้ง ถ้ามีพลังมีอำนาจยับยั้งขึ้นมา มันจะทวนกระแสของมันเข้ามาได้ ทวนกระแสเข้าไปหาใจ ถ้าทวนกระแสเข้าไปหาใจได้ ย้อนกลับตลอด นี่คือการทวนกระแส

การทวนกระแสของโลก ธรรมะนี้จะทวนกระแสตลอด ทวนกระแสของโลกด้วย ทวนกระแสของความคิดของเราด้วย ความคิดของเรา เราจะคาดหมายธรรมะไว้ ทุกคนจะคาดหมาย นิพพานจะเป็นอย่างนั้น ขั้นตอนของธรรมจะเป็นอย่างนั้น ความคาดความหมาย แต่ไปเจอความจริงแล้วจะอธิบายให้เหมือนสิ่งนั้นยากมาก จะอธิบายสิ่งนั้นไม่ได้เลย พูดได้แต่เพียงแค่เปรียบเทียบ เปรียบเทียบออกมา

ครูบาอาจารย์ของเราผ่านพ้น ผ่านพ้นกิเลสขึ้นไป ต้องเป็นผู้ที่รู้จริง สิ่งที่รู้จริงถึงสอนกันได้มาถึงเป็นสมบัติของเรา จนถึงกับยื่นจากมือของครูบาอาจารย์ จะยื่นผ่านมือของเรา มือของเรารับธรรมอันนี้ไว้ได้ ถ้าเรารับธรรมอันนี้ไว้ได้มันก็เป็นคุณสมบัติของเรา

ธรรมของเรา ธรรมของเราที่เราสร้างสมขึ้นมาจากหัวใจของเรา เราสร้างสมขึ้นมา อำนาจของความคิดดี การใฝ่ดี ความดำริชอบ ความเพียรชอบ การงานชอบ มันเป็นความชอบเป็นความดีงามทั้งหมด สิ่งที่เป็นความดีงามนี้เป็นมรรค เป็นมรรคโค เป็นทาง สิ่งที่เป็นทาง สิ่งที่ดีงาม สิ่งที่เป็นคุณงามความดียังเป็นทางเข้าไป

ทางเข้าไปถึงจนถึงว่าจับต้องหัวใจได้ จับต้องหัวใจได้นั้นมันเป็นการงานในการวิปัสสนา การทำวิปัสสนาเกิดขึ้นในการใคร่ครวญให้เห็นโทษของการยึดมั่นถือมั่นในธาตุ ๔ ธาตุ ๔ กับหัวใจ ธาตุ ๔ กับขันธ์อันละเอียดในหัวใจมันยึดมั่นถือมั่นกัน มันยึดมั่นถือมั่นกันมันยังเป็นการงาน

เราตัดร่น เราเห็นโทษของสิ่งที่เป็นหยาบๆ สิ่งที่มันเป็นโทษอันหยั่งกลางอยู่ในหัวใจ เราต้องเห็นโทษของมันเหมือนกัน ถ้าเราเห็นโทษ เห็นไหม เราสอนใจของเรา ให้ใจของเราเห็นโทษสิ่งนี้ ให้มันปล่อยวางสิ่งนี้ ปล่อยวางไว้ตามความเป็นจริง จะปล่อยวางได้ กิเลสมันไม่ยอมให้ปล่อยวาง กิเลสมันเป็นฝ่ายยึดมั่นถือมั่น เป็นฝ่ายดึงดูด มันไม่ยึด มันไม่ปล่อยวาง นี่เป็นการต่อสู้กัน เป็นการลองกำลังกันตรงนี้ ตรงที่การปล่อยวางได้ กับความยึดถือของใจ

ใจมันยึดถือมันก็เห็นว่าเป็นคุณประโยชน์ของมัน แล้วมันเป็นการสิ่งที่มีอำนาจบังคับบัญชาได้ เราเคยเป็นเหยื่ออย่างนี้มาตลอด เราเคยอยู่ในอำนาจของเขามาตลอด แล้วเราจะฝืนออกไป ถ้าเอาเราไปฝืน เราก็ฝืนไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ เราไม่รู้เอาอะไรไปฝืน แต่นี่เพราะเราปฏิบัติธรรม เราสร้างธรรมขึ้นมา ธรรมของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ธรรมของผู้ที่สร้างผลงานของใจขึ้นมา

ถ้าสร้างผลงานของใจขึ้นมา อันนั้นเป็นธรรม อำนาจของธรรมอันนี้จะไปฟาดฟันกับกิเลส ไปฟาดฟันกับความยึดมั่นถือมั่นให้ปล่อยวาง สิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นเพราะกิเลส เพราะความไม่เข้าใจ สิ่งนี้เป็นธรรมชาติในหัวใจที่เกิดดับ สิ่งที่เป็นธรรมขึ้นมาให้เห็นโทษของมัน แล้วปล่อยวางออกมา ปล่อยวางออกมา

สิ่งที่เห็นโทษ เห็นโทษบ่อยครั้งเข้าก็ปล่อยวางบ่อยครั้งเข้า ปล่อยวางจนชำนาญ จนรู้ว่าสิ่งนี้เป็นโทษ ปล่อยวางจนชำนาญแล้วเราก็ซ้ำอยู่ตรงนั้น เราไม่ก้าวเดินต่อไป เราไม่เปลี่ยนที่เปลี่ยนตำแหน่ง เปลี่ยนตำแหน่ง เปลี่ยนตำแหน่งให้ออกมาเป็นโลก

ถ้าออกมาเป็นโลก ถ้าเข้าไปเป็นธรรม

เราพยายามย้อนกลับเข้าไปทำ

จะละเอียดรอบคอบ จะละเอียดลึกซึ้งขนาดไหนมันเป็นงานของเรา เราต้องทำ เราทำสิ่งนี้ตลอดไปจนถึงที่สุดแล้วอำนาจของธรรม มรรคอริยสัจจัง ความจริง ความชอบ ความเห็นชอบ ความเพียรชอบ สิ่งที่เป็นความชอบนี้เป็นมัชฌิมาปฏิปทา

สิ่งที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทารวมตัวกันแล้วความเห็นชอบอันนั้นเป็นมรรค มรรคโค มรรคสามัคคีทำลายกิเลส ทำลายความยึดมั่นถือมั่น เห็นโทษนั้นมันปล่อยวาง โทษนั้นหลุดออกไปจากใจโดยความเป็นจริง สิ่งที่โทษนั้นหลุดออกไปจากความเป็นจริง

สิ่งที่ว่ามันเป็นขันธ์มันก็มีอยู่โดยธรรมชาติของเขา ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ก็เป็นอันเก่านั่นล่ะ แต่มันไม่เหมือนของเดิม ของเดิมนี้มันเป็นความสกปรกโสมม เป็นความยึดมั่นถือมั่นโดยที่เราไม่เข้าใจ แต่สิ่งนี้เป็นการเราปล่อยวางขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เรายิ่งเห็นคุณประโยชน์ เห็นการเกิดมาเป็นมนุษย์สมบัติ เห็นการประพฤติปฏิบัตินี้เป็นคุณของเรา สิ่งที่เป็นคุณของเรา เรามีความเป็นคุณมาก เราทำคุณงามความดีของเรามาก เราถึงเห็นผลงานสิ่งนี้ สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่สกปรกโสมมเหมือนเดิม

มันสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาด้วยการภาวนาของเราขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เห็นคุณค่า เห็นคุณค่ามันก็ต้องรีบเร่งขวนขวาย สิ่งที่จะรีบเร่งขวนขวาย จะไม่นอนจมอยู่กับความสุข จะไม่นอนจมอยู่กับความเวิ้งว้างของใจ ใจจะเวิ้งว้างจะมีความสุขขนาดไหน นั้นเป็นผลงานในการเราปล่อย ปล่อยธาตุ ปล่อยขันธ์มาเป็นชั้น เป็นชั้น

แต่สิ่งที่ว่าเป็นความปกปิดหัวใจ กามราคะ-ปฏิฆะนี้เป็นการปกปิดหัวใจไว้อย่างรุนแรง มันจะปกปิดใจไว้ เราจะทำลายหัวใจ ทำลายสิ่งที่ว่าเป็นสิ่งที่รองรับทุกข์ ทุกข์เกิดที่ใจ ต้องทำลายหัวใจเพื่อจะไม่ให้เป็นที่รองรับทุกข์ได้ แต่สิ่งที่ปกปิด ขันธ์อันละเอียดนี้ปกปิดมาก ขันธ์อย่างหยาบๆ เราละกันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา แต่ขันธ์อย่างละเอียดมันติดแน่นมาก

สิ่งที่ติดแน่นมาก ความเป็นติดแน่นของมัน เพราะรสชาติของมันดูดดื่มใจมาก ใจติดรสชาติอย่างนี้โลกถึงออกมาเป็นโลกได้ตลอดมาเพราะสิ่งนี้ สิ่งนี้มีการสัมผัสสัมพันธ์กัน โลกถึงได้เจริญงอกงามขึ้นมาเป็นโลกที่ทุกข์ร้อนอยู่นี้ ทุกข์ร้อนเพราะความไม่เข้าใจ สิ่งที่ไม่เข้าใจ มันทำความเห็นของความเห็นผิด ความเห็นผิดเขาว่าคุณค่าของมันจะเกิดตรงนั้น

แต่การปล่อยวาง คนเรานะมีความชุ่มไปด้วยสิ่งที่เป็นภาระรุงรัง มันจะมีความสง่างามไปไหน คนเราชำระล้างร่างกายสะอาด สิ่งที่เป็นความสะอาดบริสุทธิ์ของร่างกาย ไม่มีสิ่งใดสกปรกโสมมมาติดข้องร่างกายนั้น ถึงจะเป็นผู้ที่สะอาดสิ ถึงจะเป็นผู้ที่มีคุณงามความดี ถึงจะเป็นคนสง่างาม

ความสง่างามของใจมันต้องหลุดพ้นออกไปจากกามราคะมันถึงจะสง่างาม แต่สิ่งที่เป็นความพะรุงพะรังออกมานี้มันเป็นความเคยใจ ใจมันเคยกับสิ่งนี้ มันปลดเปลื้องสิ่งนี้ไม่ได้ แล้วมันจะไม่เห็นสิ่งนี้ สิ่งนี้ถ้ามันไม่เห็นนี้ มันจะปกคลุมใจอยู่ แต่ถ้าเห็นขึ้นมาแล้วมันจะมีความรุนแรงมาก สิ่งที่รุนแรง นี่มันหลบ กิเลสมันฉลาดขนาดนั้น มันสิ่งที่ว่าเป็นสมบัติเป็นวัตถุอันใหญ่มหาศาลเลยที่ว่าโลกนี้ติดกันอยู่ มันอยู่ในหัวใจของเรา มันสามารถทำให้ว่าเวิ้งว้าง ทำให้ว่างในหัวใจได้

หัวใจนี้จะว่างจะไม่เห็นสิ่งนี้เลย เพราะมันเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรม โทษจะมีมากขนาดไหนมันก็เป็นนามธรรมอยู่กับหัวใจของเรา อยู่กับหัวใจของเรา มันถึงอาศัยหัวใจของเรา แล้วอาศัยทำให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินี้ได้ไขว้เขว ได้หลงทางไป ได้หลงทางไม่เห็นสัจจะ ไม่เห็นงานของตัวเอง ถ้าไม่เห็นงานของตัวเอง ความเจริญงอกงามของใจดวงนั้นจะเข้าไปถึงใจ มันจะเข้าถึงไม่ได้ เพราะทางนั้นปิดตัน ทางนี้ปิดตันไปด้วยกามราคะ กามราคะปิดไม่ให้หัวใจของเราให้เห็นหนทางเข้าไปเลย

แล้วมันถึงให้เห็นแต่ความสงบ ให้เห็นแต่ความเวิ้งว้าง ใจจะมีความสุขอยู่อย่างนั้น มันมีความสุขอยู่อย่างนั้น มันต้องพยายามค้นคว้า อำนาจวาสนาของคนอยู่ตรงนี้ อำนาจวาสนาของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจะอยู่ตรงนี้ ตรงที่ว่าเข้าใจจะเริ่มต้นจับต้องได้ไหม ถ้าเริ่มต้น พยายามค้นคว้าหาสิ่งต่างๆ หากิเลสให้ได้ จับต้องสิ่งกิเลสได้มันก็เป็นงานของเราขึ้นมา

เหมือนกับการหางานทำ ถ้าเราเป็นคนตกงาน เราไม่มีงานทำ เราจะไม่มีปัจจัยเครื่องอยู่อาศัยเพราะเราไม่มีงานทำ แต่ถ้าเรามีงานทำขึ้นมา งานนั้นจะเป็นเครื่องที่ว่าเราจะให้มีปัจจัย ๔ ขึ้นมานั้นคือเป็นงานของโลกนะ ยังต้องมีงานทำ

แล้วหัวใจมันเวิ้งว้าง มันทรงตัวของมันเอง มันเวิ้งว้างสิ เพราะมันปล่อยวางสิ่งต่างๆ เข้ามามันถึงเวิ้งว้าง เพราะมันมีความสุขมันก็เวิ้งว้างของมัน แต่มันจับต้องสิ่งที่เป็นความใต้ความเวิ้งว้างนั้นไม่ได้ ใต้เวิ้งว้างนั้นไม่ได้ เพราะมันไม่ใส่ใจ

มันถึงต้องมีสติสัมปชัญญะมาก สติสัมปชัญญะพยายามสร้างขึ้นมา สร้างสติ สร้างมหาสติ ขึ้นมาเพื่อย้อนกลับเข้ามา จับสิ่งที่ว่าเป็นความรุงรัง เป็นความพะรุงพะรังของใจนั้น สิ่งนี้เกาะเกี่ยวอยู่กับใจ สิ่งนี้ปกปิดใจไว้ให้อยู่ในอำนาจของเขา ถ้ามันย้อนกลับเข้ามาได้มันจับต้องสิ่งนี้ได้ นี่อสุภะ-อสุภังจะเกิด เกิดตรงนี้

เราเข้าใจว่าเราปล่อย ปล่อยกาย ปล่อยกายเข้ามาแล้วกายจะไม่มี ผู้ที่ปฏิบัติจะเป็นอย่างนั้น เพราะความเป็นจริงอย่างหนึ่ง การศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างหนึ่ง การที่ครูบาอาจารย์เทศน์นั่นก็เป็นสมบัติของท่านอย่างหนึ่ง เป็นสมบัติยืมหมดเลย แม้จะส่งจากใจดวงหนึ่งนะ ส่งจากใจที่ประพฤติปฏิบัติเป็นประสบการณ์ตรงของใจดวงนั้น ให้กับใจดวงหนึ่งที่กำลังก้าวเดินอยู่ มันก็ยังมีความคาดหมาย เพราะกิเลสมันอยู่ในใจ

กิเลสนี้มันถึงแก่นของกิเลสจริงๆ มันเป็นแก่นที่มันพลิกแพลงอยู่ในหัวใจของเรา ให้หัวใจนี้ก้าวเดินไปทางผิดพลาดตลอดเวลา สิ่งที่ผิดพลาดมันถึงไม่ประสบผลสำเร็จ เราถึงต้องพยายาม พยายามย้อนกลับทวนกระแสตลอด ทวนกระแสเข้าไป สิ่งนี้ต้องจับต้องได้ มันจะลึกลับซับซ้อนขนาดไหนมันก็อยู่ในหัวใจของเรา อยู่ในหัวใจ อยู่ในสิ่งที่ว่ามันเป็นเครื่องประดับของใจ

แต่มันเป็นเครื่องประดับของใจที่ให้เกาะเกี่ยวไปกับโลก ให้เกาะเกี่ยวไปสิ่งที่ว่าเป็นกามภพ สิ่งที่เป็นกามภพ สิ่งที่หมุนเวียนออกไป นี่ใจย้อนกลับเข้ามาด้วยสติสัมปชัญญะ ต้องจับต้องสิ่งนี้ได้ ถ้าจับต้องสิ่งนี้ได้เห็นคุณค่าของการจับต้องสิ่งนี้ นั่นน่ะ เป็นอสุภะ

สิ่งที่เป็นอสุภะต้องพยายามพิจารณาออกไป พิจารณาใคร่ครวญออกไปเป็นอสุภะบ้างเป็นสุภะบ้างแล้วแต่อำนาจของธรรม เราจะไปกะเกณฑ์ไม่ได้ ถ้าอำนาจของธรรม สมาธิคงที่ สมาธิมีความพอดีอยู่ สิ่งนี้จะเกิดขึ้นสมควรให้เราไว้ได้วิปัสสนา ถ้าสมาธิเราไม่พอ สมาธิเราใคร่ครวญอยู่ อำนาจ อารมณ์ของใจ ปกติของใจอารมณ์เรามันก็แปรปรวนตลอดเวลา สมาธิก็เหมือนกัน มันจะไม่คงที่ตลอดไปหรอก มันเจริญบ้างเสื่อมบ้างโดยธรรมชาติของเขา

ถ้าสมาธินี้เจริญขึ้นมา สมาธิแก่เกินไปก็ภาพนั้นชัดเจน ภาพนั้นคงที่ ภาพนั้นสิ่งที่ว่าวิปัสสนาไม่ก้าวเดิน ปัญญาอ่อน ถ้าสมาธิแก่กล้า สิ่งนี้ก็จะคงที่เป็นสิ่งที่สวย สว่างไสว เวิ้งว้างอยู่อย่างนั้นเหมือนกัน มันจะสว่างไสวเพราะภาพนั้นมันจะชัดเจนมาก นั้นเพราะสมาธิมันแก่เกินไป ปัญญาไม่ก้าวเดิน

ถ้าปัญญาก้าวเดิน สิ่งนี้มันเป็นอสุภะแล้วให้มันพลัดพราก ให้มันแปรสภาพ ให้มันเป็นไตรลักษณ์ สิ่งที่เป็นไตรลักษณ์ ความเป็นไตรลักษณ์ของมัน มันแปรสภาพของมันให้เราเห็น มันจะหมุนเวียนไปตามสถานะที่ว่าอำนาจของธรรม

สิ่งที่เป็นธรรม ธรรมเท่านั้นที่ว่ามันเป็นความเป็นจริง ธรรมเท่านั้นจะลงความพอดี สิ่งที่เป็นพอดี พอดีในการเห็นของเรา นี่ฝึกฝนใจขึ้นมา สิ่งนี้เป็นกามราคะ สิ่งนี้เป็นความหมกมุ่นของใจ ใจจะหมกมุ่นกับสิ่งนี้ตลอดไป มันจะคิดสิ่งต่างๆ เพราะอะไร สิ่งนี้ถ้าสะเทือนหัวใจแล้วมันจะปล่อยวางสิ่งต่างๆ กลับมาติดตรงนี้ทันทีเลย ตรงนี้เป็นที่ติดของมัน เราถึงต้องพยายามใคร่ครวญให้หนักหนาสาหัสสากรรจ์ ความหนักหนาสาหัสสากรรจ์เพื่อใคร่ครวญสิ่งนี้ตลอดเวลา

ปล่อยวางออกไป ปล่อยวางออกไป จะปล่อยวางขนาดไหนเราก็ใคร่ครวญ เพราะตรงนี้มันลึกซึ้งมาก มันมีความที่ว่าเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปอีก เราต้องพยายามใคร่ครวญของเรา ใคร่ครวญนะ นี่กลับมา

งานของเรา งานของเรางานสร้างสมปัญญา ปัญญา เวลาปัญญาก้าวเดินออกไปแล้ว มันถึงว่ามันไม่มีสิ่งที่ว่าไม่มีขอบเขตของปัญญา ปัญญานี้พลิกแพลง แล้วปัญญาของแต่ละบุคคลก็ไม่เหมือนกัน ปัญญาของแต่ละบุคคลใคร่ครวญ จะซ้ำกันได้บ้าง บางทีใช้นี่ตรงกัน ใช้ปัญญาเคยตรงกันก็มี

สิ่งที่ตรงกัน เวลาเขาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติออกจากป่ามาเวลาคุยธรรมกัน ศึกษาปรึกษากันการกระทำกัน เพราะต่างคนต่างพยายามก้าวเดินออกไปจากใจ ก้าวเดินออกไปนะ จะทำลายสิ่งที่ว่าเป็นความหมักหมมของใจ ก้าวเดินเข้าไปหาใจ มันเป็นสิ่งที่ว่าลำบากลำบนมาก

คุยกันเพื่อเป็นกำลังใจ ๑

๒. หากลอุบายวิธีการจะเป็นอุบายเข้าไปชำระกิเลส ๑

สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์มาก ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เป็นมงคลอย่างมากในการสนทนาธรรมตามความเป็นจริงในการประพฤติปฏิบัติ เป็นมงคลกับใจดวงนั้น เพราะใจดวงนั้นจะปลดเปลื้องสิ่งที่เป็นพญามาร มารที่ควบคุมสัตว์โลกไว้ในวัฏฏะ แล้วสิ่งนี้จะพ้นออกไปจากมาร พ้นออกไปจากกามภพ ความพ้นออกไปจากกามภพ ใจดวงนี้ถึงได้ประเสริฐมาก ประเสริฐนะ

ในมรรคา เครื่องดำเนิน ในทรงมรรคอยู่ มรรคที่เกิดขึ้นในหัวใจมันจะแยกแยะออกไป แล้วก็ย้อนกลับมาทำหน้าที่ของเรา ต้องหน้าที่ของเราคือการทำซ้ำ ทำซาก ทำอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่ปล่อยแล้วทำจับพลัดจับผลู ทำโดยสุกเอาเผากิน ถ้าสุกเอาเผากินนี่ไม่ได้ งานต่างๆ สุกเอาเผากินจะไม่ได้ประโยชน์สมตามความเป็นจริงของงานนั้น

งานจะสมบูรณ์ได้เราต้องพยายามซ้ำอยู่ตรงนี้ นั่นน่ะ วิปัสสนาเข้าไป วิปัสสนานี้ถึงเวลาทำเข้าไป มันออกเป็นปัญญาเข้าไป ถ้ามันกำลังไม่พอ เราถึงต้องย้อนกลับมาสมถะ สมถะคือความสงบของใจ ใจต้องอาศัยกำลังงานตลอดไป

เวลาสมาธิแก่กล้าขึ้นมา มันก็ไม่สมควร ถ้าปัญญาใช้ฟั่นเฟือนไป มันก็ไม่สมควร ไม่สมควรมันมัชฌิมาปฏิปทาไหม? ไม่ใช่มัชฌิมาปฏิปทา มรรคสามัคคีนี้มันต้องมัชฌิมาปฏิปทา แล้วต้องการฝึกฝน มันจะรวมตัวนะ เวลามรรคมารวมตัวขึ้นมามันทำลาย มันสมุจเฉทปหาน

ความสมุจเฉทปหานไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราสร้างสมเหตุการณ์ หาโอกาสให้เขา พยายามสร้างสมขึ้นมาให้ปัญญากับสมาธิคงความพอดีของเขา แล้วเราพยายามใคร่ครวญไป มันไม่พอดี มันปล่อยวางได้เป็นบางครั้งบางคราวนี้ ปัญญาสมควรแก่เหตุนั้นมันปล่อยวาง ปล่อยวาง

ปล่อยวางนี้มันปล่อยวางแล้ว สิ่งใดมันบอกเหตุล่ะ? มันไม่มีสิ่งใดบอกเหตุ บอกเหตุคือการสมุจเฉทปหาน สิ่งที่สมุจเฉทปหาน ทำลายหัวใจ ทำลายขันธ์อันละเอียด ทำลายสิ่งที่เป็นความพะรุงพะรังของใจนั้นขาดออกไป ครืน! ขาดออกไปจากใจทันที

ใจนี่ล้วนๆ นี่ตัวของใจ ทุกข์เกิดที่นี่ ทุกข์จะดับที่นี่ ถ้าจะดับทุกข์มันต้องหาใจให้เจอ

ถ้าหาใจเจอ เราหาใจเจอด้วยการวิปัสสนานะ ด้วยผลงานของการวิปัสสนา ด้วยการใช้ปัญญาญาณชำระใจที่แผ่ออกไปรับรู้กิ่งก้านสาขาของเขา ทำลายธาตุทำลายขันธ์เข้ามาหมดเลย แต่ถ้าฐีติจิต เวลาจิตสงบขึ้นมาเข้าถึงตรงนี้ก็ได้ แต่เข้าถึงตรงนี้ เห็นไหม เข้าถึงใจไง ถ้าเข้าถึงใจได้ เข้าถึงใจแต่เข้าใจถึงใจด้วยการกดธาตุขันธ์ไว้มันจะไม่เหมือนกัน

มันไม่เหมือนกันเพราะสิ่งที่เราเห็นนี้มันเป็น “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส” มันผ่องใส มันเศร้าหมองอยู่อย่างนั้น สิ่งนี้เป็นสิ่งที่รับรู้สิ่งต่างๆ มันถึงเป็นสิ่งที่ทุกข์ ทั้งๆ ที่มันปล่อยกามราคะมาแล้วนะ มันก็มีความอบอุ่นกินในความเศร้าหมองของใจ มันจะเป็นการอาลัยอาวรณ์ สิ่งที่อาลัยอาวรณ์ สิ่งที่เป็นความทุกข์ยาก ทุกข์ของโลก ทุกข์ของใจ สิ่งที่เกิดขึ้นและเผาลนใจ นี่ความทุกข์ของใจมันเสียดแทงใจ

แล้วเราก็ตัดรอนตัดเข้ามา ตัดออกมาเป็นชั้นเป็นตอน สิ่งที่เป็นความทุกข์หยาบๆ มันจะตัดออกไป ตัดออกไป แม้แต่กามราคะ สิ่งที่เป็นความพะรุงพะรังของใจ เราก็ตัดออกไปด้วยขันธ์อันละเอียด ด้วยอสุภะ-อสุภัง ด้วยความเพียร หลุดออกไปจากใจ ใจนี้ล้วนๆ มันก็มีความทุกข์อันละเอียด ละเอียดยิบจนไม่สามารถรู้ว่าทุกข์ได้เลย มันมีความอาลัยอาวรณ์ มันเป็นสิ่งที่ว่า เป็นสิ่งที่จุดสุดท้ายของใจ

ใจรับรู้ มันรับรู้แล้วมันอาลัยอาวรณ์ แล้วมันจะหาสิ่งนี้ไม่เจอ ถ้าหาสิ่งนี้ไม่เจอ ผู้ที่ดับตรงนี้ต้องเกิดเป็นพรหม สิ่งที่เป็นพรหมเพราะจิตมันเป็นขันธ์ ๑ อยู่แล้ว มันเป็น อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ เป็นปัจจยาการของมันอยู่อย่างนั้น แต่มันละเอียดอ่อนมาก ละเอียดอ่อนจนเราจะเคลิบเคลิ้มกันไปว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ว่าจับต้องไม่ได้

แต่ด้วยปัญญาญาณ ด้วยอำนาจวาสนาของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ด้วยสิ่งที่ว่าเราจะทำลาย ทุกข์เกิดที่ใจ ทุกข์เกิดที่ใจตรงนี้ ตรงนี้เป็นสิ่งที่เป็นทุกข์เกิดที่ใจ แล้วตรงนี้เป็นสิ่งที่เกิด ถ้าเราทำไม่ได้ มันทำลายไม่ได้ มันยังไปเกิดเป็นพรหม เกิดเป็นพรหมเพราะอำนาจวาสนา เราทำลายสิ่งต่างๆ เข้ามา อำนาจวาสนา ขณะนี้ก็เห็นว่าสมควร

แต่ถ้าอำนาจวาสนาถึงที่สุด ไม่ต้องไปเกิดบนพรหมอีกเลย จะไม่เกิดที่ไหน จะไม่ให้ทุกข์เกิดกับใจดวงนี้อีกเลย ใจดวงนี้จะต้องทำลายใจดวงนี้ ถึงต้องใช้ปัญญาญาณเข้าไปจับต้องสิ่งนี้ได้ จับต้องใจของเราได้แล้วใคร่ครวญอย่างละเอียด เพราะเป็นปัญญาอย่างละเอียด

สิ่งนี้สงวนรักษา มันจะรักษาตัวมันเองมาก เพราะอะไร เพราะสิ่งต่างๆ มีคุณค่าคือเรา สรรพสิ่งนี้มีคุณค่าทั้งหมด แต่ไม่มีใครจะมีคุณค่ามากกว่าเรา เรานี้ต้องเด่นที่สุด แต่เราอย่างละเอียดยิบ เราจนไม่สามารถว่าเป็นเราได้ มันถึงไม่มีสิ่งที่จะไปจับต้องสิ่งนี้ไง นี่ใจละเอียดขนาดนั้น

ถึงว่า ใจ ทุกคนไม่เห็นคุณค่าของใจ เพราะไม่สามารถจับใจได้ ถ้าใครจับใจได้ ใจสิ่งที่ว่าจับใจได้ นี้เป็นคุณงามความดีอันมหาศาล แล้วพลิกคว่ำ พลิกคว่ำด้วยปัญญาญาณ ญาณอย่างละเอียดทำลายใจดวงนี้ออกไป หมดสิ้นที่รองรับทุกข์ ใจนี้ก็ไม่มี ทำลายสิ่งที่ไม่มี ทำลายสิ่งที่ว่าเป็นนามธรรม มันเป็นหัวใจที่ละเอียดอ่อน ทำลายออกไป มันต้องดับหมด สิ่งที่ดับหมดแล้วไม่มีเลย แล้วทุกข์จะไปวางอยู่บนไหน

สิ่งต่างๆ โลกนี้อยู่โดยธรรมชาติของเขา แต่เดิมจิตนี้เราเกิดมาโดย อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา แล้วก็สืบต่อในธาตุในขันธ์จนเป็นกิ่งก้านสาขาออกไปยึดนี้ โลกทั้งโลกเป็นของเรา ในวัฏฏะ ในสวรรค์ ในอินทร์ ในพรหม อยากรู้อยากเห็นเหมือนกับว่าเป็นของเรา ในวัฏฏะนี้ก็จะเป็นของเรา มันยกเว้นออกไปข้างนอก แล้วเราทำลายเข้ามาด้วยมรรคอริยสัจจัง ด้วยการประพฤติปฏิบัติของเรา ด้วยความเห็นอันถูกต้องของใจ ใจนี้มีความถูกต้องแล้วพยายามสะสมขึ้นมา

ถ้าไม่มีความถูกต้องจะเข้าไม่ถึงตัวใจได้ จะไม่สามารถตัดกิเลสออกมาเป็นชั้นเป็นตอน ตั้งแต่กิ่งก้านสาขาของกิเลส กิ่งก้านสาขาของกิเลสนั้นเป็นทุกข์หยาบๆ เราตัดมาเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปจนจับต้องตัวของใจได้ แล้วทำลายตัวของใจนั้นออกไป ทำลายตัวของใจนั้นหมดสิ้นไป ไม่ใช่ออกไป หมดสิ้นไป แล้วจะไม่มีสิ่งใดๆ เลย

การทำลายความทุกข์อันหยาบๆ ขึ้นมา เราจะมีตัวหัวใจนี้รับประกันความรู้สึกตลอด เป็นปัจจัตตังรู้ตลอดมาเลย ถึงตรงนี้แล้วมันยิ่งกว่าปัจจัตตัง เพราะปัจจัตตังนี้ยังเป็นสมมุติ ยังเป็นเรื่องของโลกอยู่ ยังเป็นธรรม ธรรมที่เกิดดับเกิดดับ ยังเป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลาย สิ่งนี้พ้นจากการรับรู้สิ่งต่างๆ แต่รู้อยู่ รู้โดยธรรมชาติของเขา

ธรรมชาติ สิ่งที่มันเป็นธรรมชาติเราต้องละ เราต้องสละทั้งหมด

แล้วนี่เป็นธรรมชาติได้อย่างไร? เป็นธรรมชาติโดยสมมุติไง โดยสมมุติว่าเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมธาตุ ธรรมที่เราทุกคนปรารถนา ธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประสบได้พบเห็นในธรรม พระพุทธเจ้าได้เสวยธรรมอันนี้ก่อน ถึงได้บอกปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์แล้วสั่งสอนสัตว์โลกมา วางธรรมไว้ให้เราก้าวเดินมา

เรามาเจอสิ่งนี้ เรามาเจอคุณงามความดี คุณงามความดีเหมือนกับว่า เราจะไม่มีสมบัติเลยก็จริงอยู่ แต่เรามีวิชาการ มีทฤษฎี มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ก้าวเดิน ถ้าไม่มีสิ่งนี้เลย เราจะไม่มีสิ่งใดๆ ก้าวเดินเลย เราจะไม่มีสิ่งใดๆ เป็นที่พึ่งอาศัย เราจะไม่มีสิ่งใดๆ แต่นี้มีอยู่ มีอยู่ถึงเป็นอำนาจวาสนา

แล้วเราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติโดยทางตรงด้วย ตรงในการชำระกิเลส ตรงของเราคือตรงเข้ามาในชำระกิเลสในหัวใจของเรา ทำลายกิเลสในหัวใจของเรา ทำลายกิเลสในหัวใจของเราก่อน จนกิเลสหลุดไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป จนเหลือใจล้วนๆ จนทำลายใจทั้งหมด แล้วทุกข์จะเกิดตรงไหน ทุกข์ไม่มีอีก มันเป็นความสุขอย่างมหาศาล เป็นความสุขที่เราที่ทุกคนต้องปรารถนา เอวัง